เมนู

ได้แก่เหตุ ความว่า เหตุเพื่อความปรากฏย่อมไม่มี ด้วยพระดำรัสเพียง
เท่านี้ เป็นอันทรงแสดงวาระแห่งอเสขภูมิแล้ว.
จบ อรรถกถาอุปาทานปริวัฏฏสูตรที่ 4

5. สัตตัฏฐานสูตร



ว่าด้วยการรู้ขันธ์ 5 โดยฐานะ



[118] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มี-
พระภาคเจ้า
ได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี-
พระภาคเจ้า
ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ฉลาดในฐานะ
7 ประการ ผู้เพ่งพินิจโดยวิธี 3 ประการ เราเรียกว่ายอดบุรุษผู้เสร็จกิจ
อยู่จบพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้ฉลาด
ในฐานะ 7 ประการ เป็นอย่างไร ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ รู้ชัดซึ่งรูป เหตุเกิดแห่งรูป ความดับแห่งรูป ปฏิปทาอันให้
ถึงความดับแห่งรูป คุณแห่งรูป โทษแห่งรูป และอุบายเครื่องสลัดออก
แห่งรูป รู้ชัดเวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ เหตุเกิด
แห่งวิญญาณ ความดับแห่งวิญญาณ ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่ง
วิญญาณ คุณแห่งวิญญาณ โทษแห่งวิญญาณ และอุบายเครื่องสลัดออก
แห่งวิญญาณ.

[119] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็รูปเป็นไฉน ? มหาภูตรูป 4 และ
รูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นี้เราเรียกว่ารูป ความเกิดขึ้นแห่งรูป
ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งอาหาร ความดับแห่งรูปย่อมมีเพราะ
ความดับแห่งอาหาร อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 คือ สัมมาทิฏฐิ
ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แลเป็นปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป ความสุข
โสมนัสอาศัยรูปนี้เกิดขึ้น นี้เป็นคุณแห่งรูป รูปไม่เที่ยงเป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษแห่งรูป การกำจัดฉันทราคะ
การละฉันทราคะในรูปเสียได้ นี้เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้ยิ่งซึ่งรูป
เหตุเกิดแห่งรูป ความดับแห่งรูป ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป
คุณแห่งรูป โทษแห่งรูป และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป อย่างนี้ๆแล้ว
ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับรูป สมณะหรือ
พราหมณ์เหล่านั้นปฏิบัติดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดปฏิบัติดีแล้ว
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมหยั่งลงในธรรมวินัยนี้
ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้ยิ่งซึ่งรูป เหตุเกิดแห่งรูป
ความดับแห่งรูป ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป คุณแห่งรูป
โทษแห่งรูป และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป อย่างนี้ๆแล้ว หลุดพ้นไป
เพราะความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ความดับ (และ) เพราะไม่ถือมั่นรูป
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่าหลุดพ้นดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์
เหล่าใดหลุดพ้นดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นเป็นอันเสร็จกิจ
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเสร็จกิจ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
ย่อมไม่มีวัฏฏะเพื่อความปรากฏอีก.
[120] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เวทนาเป็นไฉน ? เวทนา 6 หมวด
นี้ คือ เวทนาเกิดเพราะจักขุสัมผัส ฯลฯ เวทนาเกิดเพราะมโนสัมผัส

นี้เรียกว่าเวทนา ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่ง
ผัสสะ ความดับแห่งเวทนา ย่อมมีเพราะความดับแห่งผัสสะ อริยมรรค
อันประกอบด้วยองค์ 8 คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แลเป็น
ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งเวทนา ฯลฯ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
ย่อมไม่มีวัฏฏะเพื่อความปรากฏอีก.
[121] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัญญาเป็นไฉน ? สัญญา 6
หมวดนี้ คือ รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา
ธรรมสัญญา นี้เรียกว่าสัญญา ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา ย่อมมีเพราะ
ความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ ความดับแห่งสัญญาย่อมมีเพราะความดับ
แห่งผัสสะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ
สัมมาสมาธิ นี้แลเป็นปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสัญญา ฯลฯ
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่มีวัฏฏะเพื่อความปรากฏอีก.
[122] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารเป็นไฉน ? เจตนา 6 หมวด
นี้ คือ รูปสัญเจตนา ฯลฯ ธรรมสัญเจตนา นี้เรียกว่าสังขาร ความ
เกิดขึ้นแห่งสังขาร ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ ความดับแห่ง
สังขารย่อมมีเพราะความดับแห่งผัสสะ อริยมรรคอันประกอบด้วย
องค์ 8 คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แลเป็นปฏิปทาอันให้ถึง
ความดับแห่งสังขาร ฯลฯ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่มีวัฏฏะ
เพื่อความปรากฏอีก.
[123] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นไฉน ? วิญญาณ 6
หมวดนี้ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ
กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่าวิญญาณ ความเกิดขึ้นแห่ง
วิญญาณ ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งนามรูป ความดับแห่งวิญญาณ

ย่อมมีเพราะความดับแห่งนามรูป อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8
คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แลเป็นปฏิปทาอันให้ถึงความดับ
แห่งวิญญาณ สุขโสมนัสอาศัยวิญญาณเกิดขึ้น นี้เป็นคุณแห่งวิญญาณ
วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษ
แห่งวิญญาณ การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะในวิญญาณ
นี้เป็นความสลัดออกแห่งวิญญาณ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือ
พราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้ยิ่งซึ่งวิญญาณ เหตุเกิดแห่งวิญญาณ
ความดับแห่งวิญญาณ ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ คุณแห่ง
วิญญาณ โทษแห่งวิญญาณ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งวิญญาณ
อย่างนี้ๆแล้ว ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อ
ดับวิญญาณ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าปฏิบัติดีแล้ว สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่าใดปฏิบัติดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
ชื่อว่าย่อมหยั่งลงในธรรมวินัยนี้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
รู้ยิ่งซึ่งวิญญาณ เหตุเกิดแห่งวิญญาณ ความดับแห่งวิญญาณ ปฏิปทา
อันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ คุณแห่งวิญญาณ โทษแห่งวิญญาณ
อุบายเครื่องสลัดออกแห่งวิญญาณ อย่างนี้ๆแล้ว หลุดพ้นไปเพราะ
ความเบื่อหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นวิญญาณ
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น หลุดพ้นดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์
เหล่าใดหลุดพ้นดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นเป็นอันเสร็จกิจแล้ว
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเสร็จกิจแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
ย่อมไม่มีวัฏฏะเพื่อความปรากฏอีก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
ภิกษุย่อมเป็นผู้ฉลาดในฐานะ 7 ประการ.
[124] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้เพ่งพินิจโดยวิธี
3 ประการ เป็นอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเพ่งพินิจโดยความ

เป็นธาตุประการหนึ่ง โดยความเป็นอายตนะประการหนึ่ง โดยเป็น
ปฏิจจสมุปบาทประการหนึ่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุย่อม
เป็นผู้เพ่งพินิจโดยวิธี 3 ประการ ภิกษุฉลาดในฐานะ 7 ประการ
ผู้เพ่งพินิจโดยวิธี 3 ประการ เราเรียกว่า ยอดบุรุษ ผู้เสร็จกิจอยู่
จบพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้.
จบ สัตตัฏฐานสูตรที่ 5

อรรถกถาสัตตัฏฐานสูตรที่ 5



ในสัตตัฏฐานสูตรที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สตฺตฏฺฐานกุสโล ได้แก่ผู้ฉลาดในโอกาส 7 ประการ.
บทว่า วุสิตวา ได้แก่ผู้อยู่จบพรหมจรรย์. บทว่า อตฺตมปริโส ได้แก่
บุรุษผู้ประเสริฐที่สุด. คำที่เหลือพึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในที่นี้
นั่นแล. แต่พระสูตรนี้พึงทราบว่า ประกอบด้วยความเพลิดเพลินมาก
และเป็นที่ตั้งแห่งความยั่วยวน เหมือนพระราชาชนะสงครามแล้ว
สถาปนาเหล่าทหารที่ชนะสงครามไว้ในตำแหน่งสูง แล้วพระราชทาน
สักการะแก่ทหารเหล่านั้น เพราะเหตุไร ? เพราะพวกคนที่เหลือ
เห็นสักการะของทหารเหล่านั้น จักสำคัญเพื่อเป็นคนกล้าบ้าง ฉันใด
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีตลอดกาลหาประมาณมิได้
ทรงชนะกิเลสมาร ณ มหาโพธิมณฑล ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
ประทับ นั่ง ณ พระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี เมื่อจะแสดงพระสูตรนี้
จึงยกพระขีณาสพขึ้นชมเชยสรรเสริญ เพราะเหตุไร ? เพราะ
เสขบุคคลที่เหลือ จักสำคัญพระอรหัตตผลว่า ควรบรรลุ ด้วยประการ
ฉะนี้. พระสูตรนี้ พึงทราบว่า ประกอบด้วยความเพลิดเพลินมาก